สารที่ทำร้ายตับ

​ยาและสมุนไพร...ดูเหมือนช่วย แต่บางทีกลับทำร้าย “ตับ”

​

หลายคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เริ่มกินวิตามิน อาหารเสริม หรือสมุนไพรต่างๆ เป็นประจำ ด้วยความเชื่อว่าช่วยบำรุงร่างกาย   บางคนก็กินยาสามัญประจำตัว เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ไข ยานอนหลับ หรือยาควบคุมเบาหวาน ความดัน และไขมันเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้หยุดพัก แต่รู้หรือไม่ว่า ตับของเราคือ อวัยวะหลักที่ต้องทำหน้าที่ในการกำจัด สารเหล่านี้ออกจากร่างกายเสมอ

​

ทุกครั้งที่เรากินยา หรืออาหารเสริม ตับจะต้องแปรสภาพสารที่ร่างกายไม่ต้องการ ให้กลายเป็นรูปแบบที่สามารถขับออกทางปัสสาวะหรืออุจจาระได้  หากกินในปริมาณที่เหมาะสม และอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ร่างกายมักจะสามารถรับมือได้โดยไม่มีปัญหา

แต่หากเรารับเข้าสารเหล่านี้ในปริมาณมาก หรือสะสมต่อเนื่อง โดยไม่ได้มีการตรวจเช็ก ตับอาจเริ่มแสดงอาการอ่อนล้า ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และเกิดภาวะที่เรียกว่า ตับอักเสบจากยา (Drug-Induced Hepatitis)

​

โดยเฉพาะยาแก้ปวดจำพวกพาราเซตามอล (Paracetamol) ซึ่งแม้จะดูปลอดภัย แต่หากกินเกินขนาดหรือต่อเนื่องนาน ก็อาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้

สมุนไพรบางชนิด เช่น ขมิ้นชันในขนาดเข้มข้น หรือสมุนไพรจีนบางสูตรที่ไม่มีมาตรฐาน อาจมีสารตกค้างหรือโลหะหนักที่สะสมในตับและไต

แม้กระทั่งอาหารเสริมบางชนิด เช่น โปรตีนผง สมุนไพรลดน้ำหนัก หรือวิตามินแบบเมกโดส (ขนาดสูงเกินจำเป็น) หากกินมากเกินไปโดยไม่มีการพัก ตับก็จะต้องทำงานหนักขึ้นอย่างไม่จำเป็น

​

ในระยะเริ่มแรก ร่างกายอาจไม่แสดงอาการชัดเจน บางคนอาจรู้สึกเพียงแค่เหนื่อยง่าย คลื่นไส้เล็กน้อย หรือท้องอืดบ่อยขึ้น แต่หากตรวจเลือดอาจพบว่าค่าการทำงานของตับ เช่น SGPT หรือ ALT สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณว่า “ตับเริ่มส่งเสียงเตือนแล้ว”

​

​

หยุดพักตับก่อนที่ตับจะหยุดเรา

​

หากคุณกินยาเป็นประจำ หรือใช้อาหารเสริมหลายชนิดในแต่ละวัน ควรมีช่วง “พักตับ” หรือ Detox Liver โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ

การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูตับโดยตรง เช่น สารต้านอนุมูลอิสระอย่าง L-Glutathione หรือสารที่ช่วยเร่งการขับพิษจากตับ เช่น NMN, DHM และ Zinc จะช่วยให้ตับทำงานได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับภาระหนักเกินไป

การดูแลตับไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะตับที่แข็งแรงคือรากฐานของร่างกายที่แข็งแรงในระยะยาว

​